นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เปิดเผยว่า ปัจจุบันการหาแหล่งพลังงานเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าค่อนข้างยากและมีปริมาณที่จำกัดมากขึ้น นับวันแหล่งผลิตเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะหมดไปอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้คนในสังคมจะร่วมกันอนุรักษ์และรักษาแหล่งพลังงานสีขาวเช่นการบำรุงรักษาแหล่งต้นน้ำลำธารที่เป็นเสมือนคลังโดยธรรมชาติของแหล่งน้ำที่จะไหลลงอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคการเกษตร และการผลิตไฟฟ้า
ที่ผ่านมา กฟผ. ได้จัดทำโครงการเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำอ่างเก็บน้ำ ของเขื่อนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดอยู่ในนโยบายและแผนงานของแต่ละเขื่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ โดยในปี 2555 เนื่องในโอกาส 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กฟผ. ก็ได้ดำเนินการ “โครงการปลูกป่าเหนือเขื่อนสิริกิติ์” ขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใช้พระนามของพระองค์ โดยมีแผนการดำเนินการปลูก 10,000 ไร่ 2 ล้านต้นกล้า ปลูกต้นหญ้าแฝก 1 ล้านกล้า สร้างฝายชะลอน้ำ 880 ฝาย ซึ่งการปลูกป่า 2 ล้านต้นนั้น จะปลูกโดยใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยดำเนินการปลูกปีละ 1 ล้านกล้า ในพื้นที่จำนวน 5,000 ไร่ และจะมีการดูแลต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมดอย่างต่อเนื่องอีก 2 ปี ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดูแลรักษาต่อไป
การอนุรักษ์พลังงานในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่แหล่งพลังงานโดยเฉพาะแหล่งเชื้อเพลิงที่จะนำมาผลิตไฟฟ้านับวันแต่จะหมดไป จึงอยากให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตระหนักถึงการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าต้นน้ำแหล่งพลังงานสีขาวของเราให้ดีต่อไป เพื่อให้มีแหล่งพลังงานธรรมชาติไว้ใช้ตลอดไป.
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/Content/agriculture/177124/
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ข่าวสารการอนุรักษ์ธรรมชาติและพลังงาน
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด โดยใช้ให้น้อย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม ในสภาพปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงมีความหมายรวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถกระทำได้หลายวิธี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
๑. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรง ซึ่งปฏิบัติได้ในระดับบุคคล องค์กร และระดับประเทศ ที่สำคัญ คือ
๑) การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้มีทรัพยากรไว้ใช้ได้นานและเกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
๒) การนำกลับมาใช้ซ้ำอีก สิ่งของบางอย่างเมื่อมีการใช้แล้วครั้งหนึ่งสามารถที่จะนำมาใช้ซ้ำได้อีก เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะนำมาใช้ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การนำกระดาษที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อทำเป็นกระดาษแข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและการทำลายสิ่งแวดล้อมได้
๓) การบูรณซ่อมแซม สิ่งของบางอย่างเมื่อใช้เป็นเวลานานอาจเกิดการชำรุดได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีการบูรณะซ่อมแซม ทำให้สามารถยืดอายุการใช้งานต่อไปได้อีก
๔) การบำบัดและการฟื้นฟู เป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรด้วยการบำบัดก่อน เช่น การบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ส่วนการฟื้นฟูเป็นการรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน เพื่อฟื้นฟูความ สมดุลของป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น
๕) การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลังงานแสงแดดแทนแร่เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี เป็นต้น
๖) การเฝ้าระวังดูแลและป้องกัน เป็นวิธีการที่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เช่น การเฝ้าระวังการทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำ คูคลอง การจัดทำแนวป้องกันไฟป่า เป็นต้น
๒. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
๑) การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดนสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งสามารถทำได้ทุกระดับอายุ ทั้งในระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง
๒) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดตั้งกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือทั้งทางด้านพลังกาย พลังใจ พลังความคิด ด้วยจิตสำนึกในความมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่มีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มูลนิธิโลกสีเขียว เป็นต้น
๓) ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพเดิม ไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรม เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในท้องถิ่นของตน การประสานงานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประชาชน ให้มีบทบาทหน้าที่ในการปกป้อง คุ้มครอง ฟื้นฟูการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
๔) ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการและพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น การค้นคว้าวิจัยวิธีการจัดการ การปรับปรุง พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เป็นต้น
๕) การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะสันและระยะยาว เพื่อเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องยึดถือและนำไปปฏิบัติ รวมทั้งการเผยแพร่ข่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
๑) การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้มีทรัพยากรไว้ใช้ได้นานและเกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
๒) การนำกลับมาใช้ซ้ำอีก สิ่งของบางอย่างเมื่อมีการใช้แล้วครั้งหนึ่งสามารถที่จะนำมาใช้ซ้ำได้อีก เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะนำมาใช้ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การนำกระดาษที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อทำเป็นกระดาษแข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและการทำลายสิ่งแวดล้อมได้
๓) การบูรณซ่อมแซม สิ่งของบางอย่างเมื่อใช้เป็นเวลานานอาจเกิดการชำรุดได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีการบูรณะซ่อมแซม ทำให้สามารถยืดอายุการใช้งานต่อไปได้อีก
๔) การบำบัดและการฟื้นฟู เป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรด้วยการบำบัดก่อน เช่น การบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ส่วนการฟื้นฟูเป็นการรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน เพื่อฟื้นฟูความ สมดุลของป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น
๕) การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลงและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลังงานแสงแดดแทนแร่เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี เป็นต้น
๖) การเฝ้าระวังดูแลและป้องกัน เป็นวิธีการที่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย เช่น การเฝ้าระวังการทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำ คูคลอง การจัดทำแนวป้องกันไฟป่า เป็นต้น
๒. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
๑) การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดนสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งสามารถทำได้ทุกระดับอายุ ทั้งในระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง
๒) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดตั้งกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือทั้งทางด้านพลังกาย พลังใจ พลังความคิด ด้วยจิตสำนึกในความมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่มีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่างๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มูลนิธิโลกสีเขียว เป็นต้น
๓) ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพเดิม ไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรม เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในท้องถิ่นของตน การประสานงานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประชาชน ให้มีบทบาทหน้าที่ในการปกป้อง คุ้มครอง ฟื้นฟูการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
๔) ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการและพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น การค้นคว้าวิจัยวิธีการจัดการ การปรับปรุง พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เป็นต้น
๕) การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะสันและระยะยาว เพื่อเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องยึดถือและนำไปปฏิบัติ รวมทั้งการเผยแพร่ข่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ข่าวสารการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เปิดเผยว่า ปัจจุบันการหาแหล่งพลังงานเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าค่อนข้างยากและมีปริมาณที่จำกัดมากขึ้น นับวันแหล่งผลิตเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะหมดไปอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้คนในสังคมจะร่วมกันอนุรักษ์และรักษาแหล่งพลังงานสีขาวเช่นการบำรุงรักษาแหล่งต้นน้ำลำธารที่เป็นเสมือนคลังโดยธรรมชาติของแหล่งน้ำที่จะไหลลงอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคการเกษตร และการผลิตไฟฟ้า
ที่ผ่านมา กฟผ. ได้จัดทำโครงการเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำอ่างเก็บน้ำ ของเขื่อนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดอยู่ในนโยบายและแผนงานของแต่ละเขื่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ โดยในปี 2555 เนื่องในโอกาส 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กฟผ. ก็ได้ดำเนินการ “โครงการปลูกป่าเหนือเขื่อนสิริกิติ์” ขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใช้พระนามของพระองค์ โดยมีแผนการดำเนินการปลูก 10,000 ไร่ 2 ล้านต้นกล้า ปลูกต้นหญ้าแฝก 1 ล้านกล้า สร้างฝายชะลอน้ำ 880 ฝาย ซึ่งการปลูกป่า 2 ล้านต้นนั้น จะปลูกโดยใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยดำเนินการปลูกปีละ 1 ล้านกล้า ในพื้นที่จำนวน 5,000 ไร่ และจะมีการดูแลต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมดอย่างต่อเนื่องอีก 2 ปี ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดูแลรักษาต่อไป
การอนุรักษ์พลังงานในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่แหล่งพลังงานโดยเฉพาะแหล่งเชื้อเพลิงที่จะนำมาผลิตไฟฟ้านับวันแต่จะหมดไป จึงอยากให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตระหนักถึงการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าต้นน้ำแหล่งพลังงานสีขาวของเราให้ดีต่อไป เพื่อให้มีแหล่งพลังงานธรรมชาติไว้ใช้ตลอดไป.
ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้คนในสังคมจะร่วมกันอนุรักษ์และรักษาแหล่งพลังงานสีขาวเช่นการบำรุงรักษาแหล่งต้นน้ำลำธารที่เป็นเสมือนคลังโดยธรรมชาติของแหล่งน้ำที่จะไหลลงอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคการเกษตร และการผลิตไฟฟ้า
ที่ผ่านมา กฟผ. ได้จัดทำโครงการเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำอ่างเก็บน้ำ ของเขื่อนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดอยู่ในนโยบายและแผนงานของแต่ละเขื่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ โดยในปี 2555 เนื่องในโอกาส 80 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กฟผ. ก็ได้ดำเนินการ “โครงการปลูกป่าเหนือเขื่อนสิริกิติ์” ขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใช้พระนามของพระองค์ โดยมีแผนการดำเนินการปลูก 10,000 ไร่ 2 ล้านต้นกล้า ปลูกต้นหญ้าแฝก 1 ล้านกล้า สร้างฝายชะลอน้ำ 880 ฝาย ซึ่งการปลูกป่า 2 ล้านต้นนั้น จะปลูกโดยใช้ระยะเวลา 2 ปี โดยดำเนินการปลูกปีละ 1 ล้านกล้า ในพื้นที่จำนวน 5,000 ไร่ และจะมีการดูแลต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมดอย่างต่อเนื่องอีก 2 ปี ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดูแลรักษาต่อไป
การอนุรักษ์พลังงานในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่แหล่งพลังงานโดยเฉพาะแหล่งเชื้อเพลิงที่จะนำมาผลิตไฟฟ้านับวันแต่จะหมดไป จึงอยากให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตระหนักถึงการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าต้นน้ำแหล่งพลังงานสีขาวของเราให้ดีต่อไป เพื่อให้มีแหล่งพลังงานธรรมชาติไว้ใช้ตลอดไป.
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ต้นแบบอาคารประหยัดพลังงาน
ทุกวันนี้สังคมไทยมีการพูดถึงเรื่องประหยัดพลังงานกันมากขึ้น เนื่องจากเรื่อง “พลังงาน” ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน ยิ่งเมื่อโลกมีประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้พลังงานก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่พลังงานเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ช่วยกันประหยัด จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้มีพลังงานใช้ได้อย่างยั่งยืน
“เอสซีจี” ถือเป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมแล้ว ในเรื่องการบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และดูแลสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ก็เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน สะท้อนจากการพัฒนาอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Building จนมาเป็น การก่อสร้าง “อาคารเอสซีจี 100 ปี” ซึ่งถือเป็นต้นแบบอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทางเอสซีจี
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ และประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี เปิดเผยว่า อาคารเอสซีจี 100 ปี ออกแบบและก่อสร้างโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคาร เพื่อเป็นองค์กรต้นแบบของอาคารที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน ประเภทอาคารสร้างใหม่ระดับสูงสุด LEED BD+C Platinum (Leadership in Energy and Environmental Design for Building Design and Construction) จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา (U.S. Green Building Council: USGBC) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับระดับโลก
จากเป้าหมายที่ต้องการให้เป็นอาคารแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง จึงเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง ด้วยการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนการผลิต รวมถึงใช้วัสดุรีไซเคิล อาทิ การเลือกวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดสารพิษ ใช้สีทาภายใน กาวและสารเคมีที่มี VOCs ตํ่า การใช้กระเบื้อง ที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล 60%
ตลอดจนควบคุมงานในระหว่างก่อสร้าง และกำจัดเศษวัสดุต่าง ๆ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ โดยได้มุ่งเน้นคุณประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเป็นหลัก ได้แก่ ลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร ด้วยการติดตั้งกระจก 2 ชั้นที่มีค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนตํ่า ส่วนระเบียงรอบอาคาร ก็ป้องกันแดดและความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร
ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยใช้ระบบแสงสว่างหลอดประหยัดไฟฟ้า T5 หลอด แอลอีดี (LED) ที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ปีละ 250,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง รวมทั้งยังมีการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตไฟฟ้าปีละ 99,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถือเป็นการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ ส่วนพื้นที่เปิดโล่งบริเวณดาดฟ้าสามารถใช้สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ขณะที่อุปกรณ์สำนักงานใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าโดยรวมของอาคาร
พร้อมกับใช้ระะบบลิฟต์อัจฉริยะ (Destination Control) ช่วยประหยัดพลังงานจากการคำนวณปริมาณผู้โดยสาร ทำให้สามารถลดระยะเวลาจอดรอและจำนวนเที่ยวได้
สำหรับลดการใช้นํ้า มีระบบการบริหารจัดการนํ้า ที่นำนํ้าฝนและนํ้าเสียที่ได้รับการบำบัดแล้ว 100% ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ชำระล้างสุขภัณฑ์และรดนํ้าต้นไม้ ลดการใช้นํ้าประปาได้ถึง 74 % และเลือกใช้สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ประหยัดนํ้า ช่วยประหยัดนํ้ามากกว่า 30%
ทั้งนี้ยัง ปรับปรุงภูมิทัศน์รอบตัวอาคาร ให้มีความร่มรื่น มีพื้นที่สีเขียวมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่เปิดโล่ง สามารถใช้เป็นมุมพักผ่อนและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และที่สำคัญคือสร้างเสริมสุขภาพคนทำงานและตอบสนองการใช้ชีวิตการทำงานได้อย่างมีความสุข
นอกจากนี้ เอสซีจียังจัดทำ เอสซีจีสมาร์ท ออฟฟิศ (SCG Smart Office) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบอัตโนมัติ (Building Automation System:BAS) อาทิ ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง รวมถึงมุ่งเน้นเรื่องกิจกรรมสีเขียว ลดการเดินทางของพนักงานโดยจัดทำห้องประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่นำเทคโนโลยีมาใช้สื่อสารเพื่อลดระยะเวลาและการเดินทางของพนักงาน ขณะที่ได้จัดที่จอดรถจักรยาน สำหรับพนักงานที่ต้องการขี่จักรยานมาทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาพและลดมลพิษจากการใช้รถยนต์ และที่จอดรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจอดรถใกล้ทางเข้าเพื่อเป็นสิทธิประโยชน์แก่ผู้ใช้รถที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
จากความสำเร็จในการพัฒนาอาคารต้นแบบ ทางเอสซีจี จึงได้จัดตั้งหน่วยงาน เอสซีจี กรีน โซลูชั่น (SCG Green Solution) ให้คำปรึกษาด้านอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกับองค์กรภายนอก เพื่อสนับสนุนการพัฒนางานสถาปัตยกรรมอย่างยั่งยืนให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : www.dailynews.co.th/Content/IT/243637/ต้นแบบอาคารประหยัดพลังงาน+-+ฉลาดสุดๆ
ที่มา : www.dailynews.co.th/Content/IT/243637/ต้นแบบอาคารประหยัดพลังงาน+-+ฉลาดสุดๆ
วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
ปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก การทำลายป่าไม้นอกจากจะทำให้ปริมาณไม้ที่จะใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจลดลงโดยตรงแล้ว ยังเป็นผลที่ทำให้เกิดความสูญเสียต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างมากมายอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าป่าไม้ช่วยทำให้อากาศชุมชื้นเพราะป่าไม้จะช่วยเก็บน้ำไว้ได้ ทำให้เกิดต้นน้ำลำธารและกระแสน้ำไหลไปตามปกติ ช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ช่วยทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ป่าไม้ยังช่วยทำให้เกิดพืชพันธุ์ไม้อื่นและสัตว์ป่าเนื่องจากต้นไม้จะนำคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปใช้ในปีหนึ่ง ๆ นับล้าน ๆ ตัน เมื่อป่าไม้ถูกตัดทำลายลงในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่า พ.ศ. 2543 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมีปริมาณขึ้นอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ มีผลให้อุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้น ทำให้อากาศร้อนและแห้งแล้ง
ดังนั้นการฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ด้วยความร่วมมือทั้งภาครัฐเอกชน และประชาชน โดยรัฐบาลต้องมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ซึ่งเกือบทุกประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรปและสหรัฐอเมริกามีรากฐานอยู่บนความคิดที่สำคัญ 3 ข้อ คือ
1. Sustain yield ใจความสำคัญของมโนทัศน์นี้อยู่ที่ว่าอัตราการตัดไม้และอัตราการเจริญเติบโตของไม้ต้องสมดุลกันเพื่อให้มีผลผลิตของไม้ใช้ไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด
2. Multiple use concept วัตถุประสงค์การจัดป่าไม้ควรอยู่ในลักษณะอเนกประสงค์ ป่าไม้ไม่ใช่แหล่งไม้เท่านั้น แต่เป็นแหล่งสัตว์ป่า แหล่งนันทนาการ แหล่งน้ำทั้งยังสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและอัตราเพิ่มธาตุอาหารในน้ำที่เรียกว่า Eutrophication ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นรากฐานสำคัญของการจัดการป่าไม้ด้วย
3. Long run policy นโยบายการจัดการป่าไม้ระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการจัดการป่าเพื่อประโยชน์ในระยะสั้นก็ไม่ต่างจากธุรกิจหรือกิจการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่หวังผลกำไรมากในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะติดตามมาในระยะยาว ป่าไม้มีอายุยืนยาวเป็นพันปี การจัดการป่าในรูปของสวนป่าโดยปลูกพืชโตเร็วเป็นแถวเป็นระยะ แต่ก็ขาดลักษณะนานาชนิดและความซับซ้อนของป่าเพราะเลือกปลูกพืชเพียงไม่กี่ชนิด การจัดการป่า โดยไม่คำนึงถึงลักษณะป่าเดิมเป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ดังนั้น ความคิดเกี่ยวกับการจัดการป่าที่ว่า The greatest good for the greatest number in the long runจึงควรเป็นนโยบายสำคัญของการจัดการป่าไม้
สำหรับประเทศไทยรัฐบาลได้กำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ดังนี้
1. การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
2. การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
3. การจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
4. การพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้ การเก็บหาของป่า การปลูกป่า การบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และอุตสาหกรรม การบริหารทั่วไป
การอนุรักษ์ป่าไม้
ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลกรวมทั้งความสมดุลในแง่อื่นด้วย ดังนั้น การฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและประชาชน ซึ่งมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ดังนี้1. นโยบายด้านการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสันทนาการ
3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
4. นโยบายด้านการพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้และการเก็บหาของป่า การปลูก และการบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และด้านการอุตสาหกรรม
5. นโยบายการบริหารทั่วไปจากนโยบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสานกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติและมีทรัพยากรป่าไม้ไว้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
การจัดการป่าเศรษฐกิจ
มีกิจกรรมหลายอย่างที่จะดำเนินการในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ได้แก่1. การพัฒนาป่าธรรมชาติในพื้นที่ ๆ ยังมีป่าธรรมชาติปกคลุมสามารถวางโครงการทำป่าไม้ต่าง ๆ และป่าไม้ชุมชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและการใช้สอยในครัวเรือนของราษฎรได้
2. การพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่าสามารถพัฒนาโดยให้รัฐและเอกชนทำการปลูกป่าในพื้นที่ ๆ ว่างเปล่า เพื่อผลิตไม้ในภาคอุตสาหกรรมและใช้สอยในครัวเรือน
3. การพัฒนาตามหลักศาสตร์ชุมชนใช้พื้นที่ป่าเศรษฐกิจในโครงการพระราชดำริโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงโครงการหมู่บ้านป่าไม้และโครงการ สกท.
4. การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ใช้พื้นที่เขตป่าเศรษฐกิจดำเนินงานในกิจกรรมเหมืองแร่ระเบิดหินย่อย และขอใช้ประโยชน์อื่น ๆ
ที่มา : http://www.rmuti.ac.th/user/thanyaphak/Web%20EMR/Web%20IS%20Environment%20gr.3/page18_tem.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)